
แมวคาราคัล กินอะไร เป็นสัตว์กินเนื้อหรือไม่ ?
- Pet Noi
- 116 views
แมวคาราคัล กินอะไร เป็นอาหารในทุกวัน อีกหนึ่งสายพันธุ์แมวป่า ที่มีสายเลือดโดยตรง เดียวกับ Desert Wild Cat หรือแมวป่าทะเลทราย พวกมันเป็นสัตว์กินเนื้อหรือไม่อย่างไร มีพฤติกรรมการกินยังไง มีข้อมูลโดยรวมยังไงบ้าง แล้วมีข่าวคาราคัลเคยโจมตีมนุษย์หรือไม่ ข้อสงสัยต่าง ๆ จะได้รับคำตอบ
ด้วยแมวป่าขนาดกลาง อย่าง “ คาราคัล ” พวกมันมีชื่อเรียกหลาย ๆ ชื่อ แต่ชื่อที่ว่า “ คาราคัล ” มีความหมายในภาษาตุรกีว่า “ หูสีดำ ” [1] โดยพวกมันมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา ในพื้นที่ตะวันออกกลาง เอเชียกลาง รวมถึงพื้นที่แห้งแล้งของอินเดีย
รวมไปถึงปากีสถาน ทั้งนี้ พวกมันมีการกระจายพันธุ์ ในทะเลทรายสะฮารา แต่มีการกระจายพันธุ์มาก ในพื้นที่แอฟริกาเหนือ เอเชีย บลา ๆ สามารถพบเห็นคาราคัลได้ ในพื้นที่สูงจากพื้นดินประมาณ 3,000 เมตร หรือราว ๆ 9,800 ฟุต [2]
ที่มา: San Diego Zoo Animals – Caracal [3]
ลักษณะนิสัยของคาราคัล พวกมันเป็นแมวป่าที่ชอบซ่อนตัว และจับจุดสังเกตได้ยาก หากไม่ได้มองดูดี ๆ ถ้าเป็นตัวที่ไม่ได้ถูกเลี้ยงในบ้าน แต่อาศัยอยู่ในป่า พวกมันจะออกหากินตอนกลางคืน ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว
และมีนิสัยก้าวร้าวพอสมควร เนื่องจากพวกมันถูกคุกคามจากเกษตรกร เพราะพวกเขามองว่าคาราคัล เป็นแมวป่าที่มักสร้างปัญหาให้อยู่บ่อย ๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมพวกมันถึงชอบการซ่อนตัว [4]
สำหรับพฤติกรรมการกิน แมวคาราคัล กินอะไร เป็นอาหาร พวกมันเป็นสัตว์จำพวกกินเนื้อ ถ้าเป็นตัวที่อาศัยอยู่ในป่า ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตด้วยการกินเนื้อสัตว์ เช่นเดียวกันกับ แมวคูริเลียน บ็อบเทล ที่จะเน้นกินเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา แต่จะต้องผ่านการต้มจนสุก
แต่คาราคัลจะเน้นกินเนื้อดิบ นอกจากนี้ ลิงซ์อียิปต์ยังเป็นนักล่าที่เก่ง จะล่าสัตว์ทุกชนิดที่มันพบ อาทิเช่น หนู พังพอน นก หรือแอนทิโลปตัวเล็ก เป็นต้น ส่วนสัตว์ตัวใหญ่อื่น ๆ ที่ขนาดใหญ่กว่าคาราคัล พวกมันก็ไม่กลัวที่จะล่า เพื่อนำมากินเป็นอาหารเลย [5]
ถ้าพูดกันถึงเรื่องพละกำลัง คาราคัลถูกจัดให้เป็นแมวป่า ที่มีพละกำลังมากกว่า แมวชานทิลลี่ ทิฟฟานี่ รวมถึงแมวบ้านสายพันธุ์อื่น ๆ เนื่องจากมีร่างกายแข็งแรง มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว อีกทั้งในตอนเคลื่อนไหวยังเงียบ แทบไม่ส่งเสียงใด ๆ
ในขณะที่วิ่งเข้าหาเป้าหมาย แถมยังกระโดดได้สูง 6 ฟุต ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้จึงมีคนสงสัยว่า พวกมันเคยโจมตีมนุษย์หรือไม่อย่างไร จากการสำรวจรายงาน ไม่พบว่าแมวคาราคัล โจมตีมนุษย์ในป่ามาก่อน ไม่ว่าจะในอดีต หรือช่วงเวลาปัจจุบัน
การเลี้ยงคาราคัลเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน ค่อนข้างจะนิยมในชาติอื่น ๆ ในขณะที่ประเทศไทย จะเห็นเพียงไม่กี่รายเท่านั้น ถ้าถามว่าพวกมันเหมาะเป็นสัตว์เลี้ยง หรือจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่ที่จะเลี้ยง ได้รับการอนุญาตให้เลี้ยงแมวป่าหรือไม่ หากได้รับการอนุญาต
ทาสแมวจะต้องมั่นใจตัวเองก่อนว่า คุณจะสามารถฝึกให้ทำตามคำสั่ง หรืออบรมให้พวกมันก้าวร้าวน้อยลงได้ เพราะหากทาสแมวที่ไม่เคยมีประสบการณ์ การเลี้ยงแมวคาราคัลมาก่อน แนะนำว่าไม่ควรเลี้ยงในบ้าน หรือเลี้ยงนอกบ้าน เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวเอง ต่อคนอื่น ๆ รอบตัวได้
สายพันธุ์แมวป่า อย่าง “ คาราคัล ” ไม่ได้ถูกจัดให้เป็นแมวบ้าน เนื่องจากเป็นพันธุ์แมว ที่อยู่ในตระกูลของเสือ พวกมันจึงเป็นสัตว์กินเนื้อ มีการล่าสัตว์ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่กินเป็นอาหาร แต่ถ้าตัวไหนที่ถูกนำมาเลี้ยงในบ้าน การจะฝึกให้พวกมันกินเนื้อที่สุกแล้ว อาจจะต้องฝึกตั้งแต่ที่ยังเป็นลูกแมว
ปัจจุบันจำนวนประชากรคาราคัล ที่ถูกนับในธรรมชาติ ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด แต่ในพื้นที่เอเชีย และทวีปแอฟริกา ปัจจุบันจำนวนประชากรเหลืออยู่น้อย เนื่องจากถูกล่าจากเกษตรกร หรือจากกลุ่มคนที่ลักลอบล่าสัตว์ เพื่อนำไปขายในตลาดมืดแบบผิดกฎหมาย
ส่วนในพื้นที่แอฟริกาตอนใต้ ยังพบว่ามีจำนวนประชากรอยู่มาก รวมถึงในเขตพื้นที่นามิเบีย แต่ปัจจุบันสถานภาพของคาราคัล ได้ถูกเปลี่ยนเป็น “ สัตว์หายาก ” เนื่องจากพบการล่าพวกมันอยู่ต่อเนื่อง ทั้งนี้ ประเทศที่ห้ามมีการล่าคาราคัล จะมีทั้งหมด 22 ประเทศ
อาทิเช่น ตุรกี, อิหร่าน, อินเดีย, อิสราเอล, ปากีสถาน, ไนจีเรีย, เอธิโอเปีย, คาซัคสถาน เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีการควบคุมการล่า และการค้าคาราคัล จะมีทั้งหมด 6 ประเทศ ได้แก่ บอตสวานา, เซเนกัล, โซมาเลีย, แทนซาเนีย, แซมเบีย และสาธารณรัฐแอฟริกากลาง เป็นต้น
สำหรับภัยคุกคามหลัก ๆ ที่พวกมันมักจะถูกกำจัด นั่นก็คือ การถูกเข้าใจผิดจากเกษตรกร ว่าพวกมันล่าสัตว์ขนาดเล็ก และทำลายพืชพรรณของชาวบ้าน จนมีการวิเคราะห์ออกมาพบว่า สัตว์เลี้ยงที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้เพื่อบริโภค
เลี้ยงไว้เพื่อใช้แรงงาน หรือเลี้ยงไว้ให้เป็นเพื่อนซี้ เป็นเหยื่อประจำของคาราคัล ซึ่งสัตว์เลี้ยงเหล่านี้มีประมาณ 17 – 55% แต่อัตราการสูญเสียพบว่า มากถึง 5.3 ตัวต่อ 10 ตารางกิโลเมตร แต่ทว่า ปัญหานี้มักจะพบแค่แอฟริกาใต้ และบางพื้นที่ของนามิเบียเท่านั้น